อ่าน วิธีเดียวที่จะทำลายมะเร็งได้: หากเราป่วยเป็นโรคมะเร็ง นั่นก็เพราะเราเองที่ทำตัวเป็นมะเร็ง
โดยทั่วไปแล้ว ความเจ็บป่วยอื่นๆ เกิดขึ้น เนื่องจากร่างกายพยายามกำจัดสิ่งที่เป็นปัญหาและส่งผลกระทบต่อหน้าที่ในการทำงานต่างๆ ของร่างกายออกไป โดยการสร้างอาการต่างๆ ขึ้น เพื่อเป็นการขับไล่หรือต่อสู้ ที่เหมาะสม หากสำเร็จ เราก็เรียกว่า ได้รับการบำบัด (Healing) แล้ว แต่หากไม่สำเร็จ ก็อาจถึงแก่ ผลลัพธ์สุดท้ายคือ ความตาย (Death)
แต่ในกระบวนการของโรคมะเร็ง กลับเป็นสิ่งที่ตรงกันข้าม กับหลักการข้างบน อย่างสิ้นเชิง แต่เกิดจาก "เซลล์" ที่อยากเปลี่ยนพฤติกรรมของตัวเอง และเริ่มขบวนการ "แยกตัวเอง" โดยไม่มีจุดจบ และผลลัพธ์ที่เกิดขึ้น ก็คือ "เจ้าของเซลล์" ก็จะรู้สึกอ่อนล้า อ่อนแรง ด้วยเพราะเป็นแหล่งอาหารของ "เซลล์ขบถ" เหล่านี้ นั่นเอง
มะเร็ง ไม่ได้เกิดจากการคุกคามต่ออวัยวะใดๆ ของร่างกายจากภายนอก อย่างเช่นพวกเชื้อแบคทีเรีย ไวรัส หรือ สารพิษต่างๆ แต่เป็นเซลล์ ที่ ก่อการกบฏ เพื่ออวัยวะนั้นๆ ที่อยากแบ่งแยกตัวเอง แล้วรุกรานไปยังอวัยวะอื่นๆ อีกทั้งหมด เพื่อให้ตัวมันเอง สามารถมีชีวิตอยู่ได้ แล้ว ต่อจากนั้น ก็ "เปลี่ยนใจ" ที่จะไม่รับกฏกลุ่มของร่างกาย เซลล์เหล่านี้ เริ่มสร้างจุดประสงค์ของตัวเอง และ มุ่งหน้าทำตามจุดประสงค์ของตัวเอง โดยไม่สนใจสิ่งอื่นใด หยุดการทำงานตามบทบาทดั้งเดิม มุ่งหน้าสร้างตัวเองใหม่เป็นอันดับแรก และ มุ่งมั่นทำตามนั้น หยุดการดำเนินชีวิตของตัวเองตามแบบสมาชิกเซลล์อื่นๆ แต่พัฒนาการรอดชีวิตของตัวเอง ด้วยตัวมันเอง อย่างเป็นเอกเทศ เติบโต และขยายตัว อย่างรวดเร็ว โดยที่ หลอดเลือด ก็ ไม่สามารถหล่อเลี้ยงได้เพียงพอ เซลล์มะเร็งจึงเปลี่ยน จาก การหายใจด้วยออกซิเจน เป็น การฟูเชื้อของตัวเองในสภาพไร้ออกซิเจน
การหายใจ เป็นการพึ่งพิงกันในสังคม โดยการแลกเปลี่ยนก๊าซออกซิเจน แต่ การฟูเชื้อของตัวเองในสภาพไร้ออกซิเจน เป็นสิ่งที่ทุกๆ เซลล์สามารถทำได้ด้วยตัวเอง เพื่อตัวมันเอง
มันเป็นแค่เซลล์ๆ หนึ่ง ที่ไม่อยากทำงานเพื่อเซลล์อื่นๆ แยกตัวเป็นอิสระ ไม่พึ่งพิง ทำทุกอย่างตามใจชอบ ทำตัวเองให้เป็นอมตะ โดยการแพร่พันธุ์อย่างไม่มีที่สิ้นสุด และจะอยู่ได้ ตราบที่เจ้าของซึ่งเป็นมนุษย์ ยังมีชีวิตอยู่
คำสาปของเซลล์เหล่านี้คือ จะตาย เมื่อเจ้าของตาย เท่านั้น
ทีนี้ก็มาถึงคำถามที่ว่า
เราเอง รู้ตัวหรือไม่ ว่าทำพฤติกรรมเหมือนเซลล์เหล่านั้น?
พยายามที่จะใช้วิถีทางในการมีชีวิตรอดของตัวเอง ตามหลักพื้นฐานของการเกิดเซลล์เหล่านั้น?
นี่คือ กุญแจ ของกระบวนการเกิดมะเร็งทั้งหมด ที่เกิดขึ้น
และไม่มีคำถามเลยว่า ทำไมคนปัจจุบัน จึงเป็นมะเร็งมากขึ้น พยายามมากขึ้นที่จะต่อสู้กับเซลล์มะเร็ง และ ไม่เคยประสบความสำเร็จเลย เพราะเหตุผลของมนุษย์ยุคปัจจุบัน ก็คือ เหตุผลเดียวกับเซลล์มะเร็งเหล่านั้น พฤติกรรมของมนุษย์ยุคปัจจุบัน ก็ขยายตัวเร็ว และ สำเร็จ ได้เหมือนเซลล์มะเร็งเหล่านั้น ไม่มีผิดเพี้ยน
ระบบการสื่อสารของเราขยายตัวได้ทั่วโลก แต่เรากลับสื่อสารกับเพื่อนบ้านหรือในครอบครัวของเราไมไ่ด้
เรามีเวลา ที่ไม่รู้จะทำอย่างไรให้เป็นประโยชน์
เราผลิตและทำลายอาหารที่บริสุทธิ์ เพียงเพราะเหตุผลของผลกำไร
เราสามารถท่องเที่ยวได้รอบโลก แต่ เราก็ยังไม่รู้จักตัวเองเลย
หลักปรัชญายุคปัจจุบันบอกว่า เราต้องเติบโตและพัฒนา แต่กลับพัฒนา โดยไม่รู้จุดหมาย
โรคมะเร็ง เป็นเพียงภาพสะท้อน ของพฤติกรรมการใช้ชีวิตและเหตุผลในการใช้ชีวิตของเรา
คำถาม จึงไม่ใช่ "เราจะเอาชนะโรคมะเร็งได้อย่างไร? " แต่เป็นคำถาม ว่า "เราจะเข้าใจโรคมะเร็งได้อย่างไร?" เพื่อที่เราจะได้เรียนรู้ ในการเข้าใจตัวเราเองด้วย
หากเราป่วยเป็นโรคมะเร็ง นั่นก็เพราะ เราเอง ที่ทำตัวเป็น มะเร็ง
โรคมะเร็ง ให้โอกาสกับเรามากมาย ในการที่จะได้สำรวจตัวเอง ถึงความเข้าใจผิด และ เหตุผลผิดๆ ในการใช้ชีวิตของตัวเราเอง ได้ทำงานกับตัวเองว่า จุดอ่อนใดในตัวของเราเอง ที่มีลักษณะเหมือนเซลล์มะเร็ง
โดยหลักๆ แล้ว ปัญหาหลักของเซลล์มะเร็ง คือ การแบ่งแยกตัวเองว่า เป็น "ฉัน" ออกมาจาก "สังคม" จึงหาหนทางในการใช้ชีวิตด้วยตัวเอง ไม่พึ่งพิงสิ่งใด ด้วยการสร้างสิ่งแวดล้อมของตัวเอง ขาดความตระหนักถึงภาพใหญ่ ไม่ยอมรับความเป็นหนึ่งเดียวกัน มองเห็นแต่ความเป็นเอกภาพด้วยการวางมาตรฐานของตัวเอง เป็นความเข้าใจผิดของ ความเป็นเอกภาพ ซึ่ง ผู้ป่วยมะเร็ง จะมีลักษณะเดียวกันกับ เซลล์มะเร็ง โดยการแบ่งแยกตัวเองในทางจิตใจ แบ่งแยก ระหว่าง "ฉัน" กับ "เธอ" ด้วยอีโก้ของตัวเอง ที่คิดว่า สามารถทำทุกอย่าง ด้วยตัวเองได้
ในความเป็นจริงแล้ว ไม่มีทางที่จะแบ่งแยกสิ่งใดสิ่งหนึ่งออกจากกันได้โดยสิ้นเชิงในจักรวาลนี้ มีเพียงแค่ในความคิดจากอีโก้ของเราเท่านั้น ที่แบ่งแยก และตอบความประสงค์ของตัวเอง และ บังคับ ให้สร้างทางของตัวเองที่จะต้องเดิน
มีสิ่งเดียวเท่านั้น ที่อีโก้กลัว คือ ความเป็นหนึ่งเดียวกัน เพราะนี่ จะทำให้มัน ถึงจุดจบ
สิ่งที่ทำให้เซลล์มะเร็งแตกต่างจากเซลล์ปกติอื่นๆ ในร่างกาย ก็คือ การประเมินอีโก้ของตัวเอง สูงเกินไป และพยายามจะมีชีวิตที่ไม่มีสิ้นสุด โดยการขยายตัว
ประโยคหนึ่งในคัมภีร์ไบเบิล พระเยซูคริสต์ ได้เคยพูดไว้ว่า "คนที่พยายามเอาตัวรอดจะเสียชีวิต"
ถ้าเราอยากเกิดใหม่จริงๆ เราต้องฆ่า "ฉัน"
งานที่ยิ่งใหญ่ มักเกิดจาก การสละ "ฉัน" หรือ การตายของอีโก้ เสมอ
แม้จะเกิดมะเร็ง แต่ทางรอดก็มี แค่ค่อยๆ เรียนรู้ ค่อยๆ ขจัดอีโก้ที่แบ่งแยกเราออกไป เปิดตัวเอง เรียนรู้ว่าเราเป็นส่วนหนึ่งของกลุ่มใหญ่ และ มีความรับผิดชอบร่วมกัน เราจะค่อยๆ เข้าใจว่า ในส่วนดีของกลุ่มใหญ่ และ ในความสนใจของเราเองนั้น ก็เป็นสิ่งเดียวกัน เพราะเราเอง ก็เป็นส่วนหนึ่งของกลุ่มใหญ่ และ มีชีวิตอยู่ในวาระเดียวกัน ทุกเซลล์มีข้อมูลของชุดพันธุกรรมเดียวกัน เป็นสิ่งเดียวกันอย่างแท้จริง
แต่เพราะเซลล์มะเร็งเชื่อว่า ตนมีชีวิตอยู่อย่างเป็นเอกเทศ ไม่เกี่ยวกับเซลล์อื่น นั่นก็สะท้อนให้เห็นในสิ่งที่เราเป็น ความเชื่อแบบนี้ เป็นอันตรายมาก และการรักษา มีวิธีเดียวเท่านั้น คือ "ความรัก" ความรักจะเยียวยา เพราะความรักจะช่วยขจัดสิ่งกีดขวาง และอนุญาตให้มีส่วนร่วมในผู้อื่นเพื่อเป็นหนึ่งเดียวกัน เพราะคนที่มีความรัก จะไม่ได้คิดถึง "ฉัน" ก่อน จึงสัมผัสในความยิ่งใหญ่ ของ ความเป็นหนึ่งเดียวกัน ได้ และมีความรักในตัวเอง
มะเร็ง คือ สัญญาณของความรักที่ไม่ได้แสดงออก หรือ การตีความของความรัก การใช้ความรักในทางที่ผิด จึงออกกฏหมายในตัวเอง ในรูปแบบของ มะเร็ง และสร้างกำแพงกีดขวางทุกอย่างออกไป แล้วลุกลามออกไปเรื่อยๆ โดยไม่กลัวสิ่งใด แม้แต่ความตาย
มะเร็ง คือ อาการของความเข้าใจผิดในความรัก
สิ่งเดียวที่ มะเร็ง ให้ความเคารพ คือ รักแท้
สัญลักษณ์ของความรัก คือ หัวใจ
หัวใจเป็น อวัยวะเดียว ที่ไม่เคยถูกโจมตี ด้วย มะเร็ง เลย
---
ติดต่อครูเก๋ วรารักษ์ สู่โนนทอง (ผู้เขียนบทความ) เพื่อเข้าร่วมเรียนรู้ในโปรแกรม Art of Laughing for Cancer Killer
Private Coaching ที่ บ้านคีตา จังหวัดเชียงราย
Private Coaching นอกสถานที่
ติดต่อครูเก๋ เพื่อจัดงาน วิทยากร อบรม สัมมนา จัด Workshop Art of Laughing for Cancer Killer
ติดต่อครูเก๋ เพื่อจัดอบรม สัมมนา เป็น In-House Training สำหรับบุคลากรในสถานพยาบาลทางการแพทย์ และ สถานบำบัด ทั้งในระยะสั้น ระยะยาว และ ทางออนไลน์
---
บทความนี้ ครูเก๋ วรารักษ์ สู่โนนทอง (ผู้เขียน) ได้สรุปความมาจากบทความเรื่อง Cancer จาก หนังสือ The Healing Power of Illness ซึ่งเป็นหนังสือของปี 1990 หรือ 30 ปีมาแล้ว ที่บอกความหมายของอาการต่างๆ ว่าเราจะแปลความหมายได้อย่างไร เป็นหนังสือที่ท้าทาย ความคิดของคนในยุคปัจจุบันมาก ที่ต้องยอมรับความจริงว่า ตกลง ความเจ็บป่วย ที่เกิดขึ้นทั้งหมดของเรา คืออะไรกันแน่?
เราเอง ที่เป็นคนสร้างความป่วยของเราเอง อาการต่างๆ ที่เกิดขึ้น คือ การแสดงออกให้เรารู้ ถึงความขัดแย้งในจิตของเราเอง เป็นสัญลักษณ์ ที่บอกเราให้รู้ถึงปัญหาจริงๆ ของเรา
หนังสือที่ครูเก๋อ่านและนำมาสรุปความนี้ เป็นฉบับภาษาอังกฤษ ซึ่งแปลมาจากต้นฉบับภาษาเยอรมัน เขียนโดย Thorwald Dethlefsen ซึ่งเป็น นักจิตวิทยาในเชิงจิตวิญญาณ ซึ่งผสานความรู้ในทางจิตวิทยา เข้ากับ การค้นหาความรู้เบื้องลึกในแง่จิตวิญญาณ
ครูเก๋ได้ค้นพบหนังสือเล่มนี้จาก amazon ในเดือนธันวาคม 2020 ซึ่งมีเหลือจำหน่ายเพียง 3 เล่ม เป็นมือสองทั้งหมด เล่มที่ครูเก๋ได้รับมา อยู่ในสภาพดีที่สุดเหมือนใหม่ ราคาทั้งสิ้น 77.35 ดอลลาร์ หรือประมาณ 2,4xx บาทไทย
และได้จัดทำคลิปซีรีส์ The Healing Journey of Illness ที่ ครูเก๋และ Katharina Bless ครูและนักบำบัดชาวสวิตเซอร์แลนด์ ได้ทำเอาไว้ชุดที่ช่อง YouTube ของครูเก๋ ที่ https://www.youtube.com/channel/UCmCj_puIvjxwvY8Q4IF80VQ
---
(เพิ่มเติมจากผู้เขียน: ครูเก๋ วรารักษ์ สู่โนนทอง)
ในคัมภีร์ไบเบิล บทที่ 1 โครินธ์ 12: 14-26 ได้กล่าวเอาไว้ว่า
"ร่างกายหนึ่งไม่ได้มีแค่อวัยวะเดียวเท่านั้น แต่มีอวัยวะหลายส่วน ถึงเท้าจะพูดว่า “เพราะฉันไม่ใช่มือ ฉันเลยไม่ใช่ส่วนของร่างกายนี้” เท้าก็ยังเป็นส่วนหนึ่งของร่างกายอยู่ดี ถึงหูจะพูดว่า “เพราะฉันไม่ใช่ตา ฉันเลยไม่ใช่ส่วนของร่างกายนี้” หูก็ยังเป็นส่วนหนึ่งของร่างกายอยู่ดี
ถ้าทั้งร่างกายเป็นตาหมด จะใช้อะไรฟัง? และถ้าทั้งร่างกายมีแต่หู จะใช้อะไรดมกลิ่น? แต่พระเจ้าจัดอวัยวะแต่ละส่วนให้อยู่ในร่างกายตามที่พระองค์เห็นว่าเหมาะสม ถ้าอวัยวะทุกส่วนเหมือนกันหมด แล้วจะมีร่างกายได้อย่างไร? อวัยวะมีหลายส่วนก็จริง แต่ทั้งหมดประกอบกันเป็นร่างกายเดียว ตาจะพูดกับมือว่า “ฉันไม่ต้องการแก” ก็ไม่ได้ หรือหัวจะพูดกับเท้าว่า “ฉันไม่ต้องการแก” ก็ไม่ได้
อวัยวะในร่างกายที่ดูเหมือนอ่อนแอกว่ากลับเป็นอวัยวะที่จำเป็นมาก และอวัยวะที่เราคิดว่าไม่ค่อยน่าดู เรากลับดูแลมันอย่างดี เราจึงทำให้อวัยวะที่ไม่ค่อยน่าดูของเราดูน่านับถือมากขึ้น ส่วนอวัยวะที่น่าดูอยู่แล้ว เราก็ไม่จำเป็นต้องดูแลมากนัก ที่จริง พระเจ้าเองประกอบร่างกายในแบบที่ให้อวัยวะที่ไม่น่านับถือกลับดูน่านับถือขึ้น เพื่อไม่ให้เกิดการแตกแยกกันขึ้นในร่างกาย แต่ให้อวัยวะทั้งหมดดูแลกันและกัน
ถ้าอวัยวะหนึ่งเจ็บ อวัยวะทั้งหมดก็พลอยเจ็บไปด้วย
หรือถ้าอวัยวะหนึ่งได้รับเกียรติ อวัยวะทั้งหมดก็พลอยดีใจไปด้วย"
ดูเหมือนว่า คำสอนในคัมภีร์ไบเบิลเรื่องอวัยวะนี้ จะข้องเกี่ยวกับการเกิดเซลล์มะเร็งได้อย่างดี
เราทุกคน ล้วนเป็นหนึ่งเดียวกับอีกคน และทุกคนต่างมีหน้าที่เป็นของตัวเองที่แตกต่างกัน เรามีหน้าที่เพียงแค่ ทำหน้าที่ของตัวเองให้ดีที่สุด แล้วสิ่งที่ดีที่สุด ย่อมเปิดเผยให้แก่เราเสมอ
ด้วยรัก หัวเราะ และ เป็นหนึ่งเดียวกัน
ครูเก๋ วรารักษ์ สู่โนนทอง
ผู้ก่อตั้ง School of Laughter (Thailand)
Laughter Master Coach
Health and Healing Coach
---
ช่องทางสำหรับการติดตาม ครูเก๋ วรารักษ์ สู่โนนทอง
FB Group: https://bit.ly/375gUXG
Youtube: https://bit.ly/3gBw3mJ
Website: https://www.kaymiracles.com/
Tiktok: https://vt.tiktok.com/ZSGDfs9g/
Open Chat: https://bit.ly/3oLd3VZ